Plankton
แพลงก์ตอน
(Plankton) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก แปลว่า “drifting” หรือ “wanderer”
ซึ่งมีความหมายว่า ล่องลอย หรือ ผู้พเนจร ดังนั้นคำว่าแพลงก์ตอนจึงหมายถึง
สิ่งมีชีวิตที่ล่องลอยอยู่ในมวลน้ำและมีแรงต้านทานกระแสน้ำน้อย
อีกทั้งการที่แพลงก์ตอนมีขนาดเล็กมาก จึงทำให้เรามีโอกาสที่จะมองเห็นสิ่งมี
ชีวิตกลุ่มนี้ได้น้อย อย่างไรก็ตามหากเราลองตักน้ำจากแหล่งน้ำต่างๆ
มาส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์
ก็จะทำให้เรามองเห็นแพลงก์ตอนตัวใสหลากสีสันได้ชัดเจนขึ้นและจะพบว่า
แพลงก์ตอนเป็นสิ่งมีชีวิตอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความหลากหลายทางด้านจำนวนชนิด
ที่สูงมาก
นอกจากนี้จะสังเกตเห็นว่าแพลงก์ตอนที่เราพบจากแหล่งน้ำ แต่ละแหล่งก็จะมีองค์ประกอบของชนิดและปริมาณแตกต่างกันไป เช่น
องค์ประกอบของชนิดและปริมาณแพลงก์ตอนในน้ำจืดก็จะไม่เหมือนกับในน้ำทะเล
และองค์ประกอบของชนิดแพลงก์ตอนในน้ำที่มีคุณภาพดีก็จะไม่เหมือนกับที่เราพบ
ในน้ำเสีย เป็นต้น ซึ่งความแตกต่างนี้เกิดขึ้นเนื่องจากแพลงก์ตอนแต่ละชนิด
มีความต้องการอาหารและสามารถเติบโตได้ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมือนกันนั่นเอง
แพลงก์ตอนแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มคือ แพลงก์ตอนพืชและแพลงก์ตอนสัตว์
ซึ่งทั้งสองกลุ่มมีส่วนสำคัญในการเป็นแหล่งอาหารของสัตว์น้ำชนิดอื่นๆ
ในแหล่งน้ำ โดยที่แพลงก์ตอนพืชมีบทบาทหลักในการเป็นผู้ผลิตเบื้องต้น
(Primary producer) ของห่วงโซ่อาหาร และเป็นอาหารของแพลงก์ตอนสัตว์
จากนั้นแพลงก์ตอนสัตว์ก็จะถูกกินด้วยสัตว์น้ำวัยอ่อน ตามด้วยสัตว์น้ำอื่นๆ
ต่อกันไปเรื่อยๆ จนถึงมนุษย์
เมื่อเป็นเช่นนี้ชนิดและปริมาณของสิ่งมีชีวิตทุก ๆ
ชนิดในห่วงโซ่อาหารจึงมีความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ได้ นั่นคือ
ชนิดและปริมาณของแพลงก์ตอนพืชจะเป็นตัวกำหนดชนิดและปริมาณของแพลงก์ตอนสัตว์
ต่อเรื่อยไปจนสิ้นสุดห่วงโซ่อาหาร
ดังนั้นปัจจัยสิ่งแวดล้อมทุกด้านจึงมีความสำคัญในการกำหนดชนิดและปริมาณของ
แพลงก์ตอนพืช
ซึ่งมนุษย์เองก็มีอิทธิพลอย่างมากในการเข้าไปเปลี่ยนแปลงความสมดุลของห่วงโซ่อันนี้ในรูปแบบต่างๆ
ที่เห็นกันอย่างชัดเจนก็คือการทิ้งของเสียลงแหล่งน้ำ
ทั้งจากชุมชนหรือจากแหล่งอุตสาหกรรม
ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณสมบัติของน้ำมีการเปลี่ยนแปลงจนทำให้องค์ประกอบ
ของชนิดและปริมาณแพลงก์ตอนมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ซึ่งจะส่งผลกระทบกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในห่วงโซ่อาหาร
ด้วยเหตุนี้จึงอยากให้ทุกคนได้ตระหนักว่าในมวลน้ำที่กว้างใหญ่
ยังมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่มีความสำคัญอาศัยอยู่ด้วย
เพื่อจะได้ยั้งคิดสักนิดก่อนที่จะกระทำสิ่งใดก็ตามที่ทำให้เกิดการสูญเสีย
ความสมดุลในระบบนิเวศ ซึ่งจะส่งผลกระทบกลับมาสู่ตัวเราเองไม่ช้าก็เร็ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น